ประวัติอูคูเลเล่
“Ukulele” เป็นเครื่องดนตรีชนิดหนึ่งที่เป็นเครื่องดนตรีพื้นเมืองของชาวฮาวายเฮี้ยนค่ะ ซึ่งแน่นอนอยู่แล้วว่าไม่ใช่ เครื่องดนตรีสมัยใหม่แน่ๆ “Ukulele”เป็นเครื่องดนตรีที่มีมาตั้งแต่สมัยศตวรรษที่ 19 แล้ว โดยมีต้นกำเนิดจากการที่ชาวพื้นเมือง ในฮาวาย ที่ใช้วิชาครูพักลักจำ ประดิษฐ์เครื่องดนตรีเลียนแบบเครื่องดนตรีคล้ายกีตาร์ นามว่า “Cavaquinho” เป็นภาษาโปรตุเกส ซึ่งชาวโปรตุเกสขนมาเล่นให้ชาวฮาวายได้ฟังกันค่ะ ต้องขอบคุณชาวโปรตุเกส ที่อุตส่าห์หอบเอาเจ้าเครื่องดนตรีนี้ ข้ามน้ำข้ามทะเลมา ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้น ที่ทำให้ชาวฮาวายเฮี้ยนนำเอาเครื่องดนตรีชนิดนี้มาประยุกต์ จนมีชื่อเสียงไปทั่วโลกในปัจจุบันนี้ค่ะ“Ukulele” นั้น ชาวเกาะเรียกกันห้วนๆ ว่า “หมัดกระโดด” ซึ่งน่าจะมาจากลักษณะของนิ้วผู้เล่น ที่ต้องสลับที่กดเด้งไปมาบนคอ “Ukulele” ที่ดูแบบมีศิลปะ และคล้ายกับตัวหมัดกำลังกระโดดไปมาบนทุ่งหญ้า ส่วนอีกศาสตร์กล่าวว่า “Ukulele” เป็นภาษาฮาวายเอี้ยน ความหมายของคำว่า “Ukulele” ถูกแยกเป็นสองคำคือ “uku” ซึ่งแปลว่า “ของขวัญหรือรางวัล” ส่วนคำว่า “lele” แปลว่า “การได้มา” ดังนั้นเมื่อนำสองคำนี้มารวมกัน จึงแปลความหมายได้ว่า “ของขวัญที่ได้มา” (จากชาวโปรตุเกส) ส่วนการออกเสียงนั้น หากออกเสียงเรียกแบบคนอเมริกัน เขาเรียกว่า “ยู คะ เล ลี่” ชาวฮาวายเอี้ยน เรียกมันว่า “อู คู เล่ เล่” ส่วนนักดนตรีสมัยใหม่ขี้เกียจพูดยาว ตั้งชื่อเล่นให้มันสั้นๆ ว่า “อู๊ค” ไม่ว่าจะเรียกอย่างไรก็ตาม ล้วนเป็นเครื่องดนตรีชิ้นเดียวกันหมด
นอกจากจะมีหลายชื่อแล้วเจ้า “Ukulele” ก็มีหลายขนาดเหมือนกันค่ะ ขนาดของมันเริ่มตั้งแต่ soprano ซึ่งเป็นขนาดดั้งเดิม ที่เหมาะสำหรับใช้เล่นตีคอร์ดสนุกสนานค่ะ ตามด้วย concert ที่คอยาวขึ้นเพื่อใช้เล่นแบบ fingerstyle ต่อด้วย tenor ที่ขนาดใหญ่ขึ้นมาอีกขั้น พร้อมเฟร็ตที่มากขึ้น และเสียงที่ทุ้มกังวาลกว่า ปิดท้ายด้วย baritone ที่ใหญ่ที่สุด และตั้งเสียงไม่เหมือนขนาดอื่นค่ะ (ตั้งเสียงแบบสี่สายล่างของกีตาร์ปกติ)
ในช่วงแรกนั้น “Ukulele” เป็นเครื่องดนตรีที่ใช้สำหรับบรรเลงเพลงฮาวายเอี้ยนขับกล่อมชาวเกาะให้ครื้น เครง โดยมีพระราชาชาวเกาะ King David Kalakaua เป็นผู้สนับสนุนใหญ่ จนใครๆ ในเกาะก็พากันเล่นเจ้าเครื่องดนตรีชนิดนนี้กันคะ จากนั้นตั้งแต่ช่วงก่อนสงครามโลก ครั้งที่สอง “Ukulele” ก็เริ่มมีคนรู้จักมากขึ้น และเนื่องจากขนาดอันกะทัดรัดและราคาที่ไม่แพง มันเปลี่ยนสถานะจากเครื่องดนตรีพื้นเมืองกลายเป็นเครื่องดนตรีสากล มีนักดนตรีจาก แผ่นดินใหญ่อเมริกานำมาเล่นกันหลากหลายแนวค่ะ ไม่เว้นแม้แต่ศิลปิน Jazz ความโดดเด่นในวงการเพลงของมันมาถึงจุดสุดยอดในช่วงยุค 60″s ก่อนที่ความนิยมจะเริ่มซาหายไปตามกาลเวลา จนเมื่อช่วงปลายยุค 90″s นี้เอง ที่ “Ukulele” กลับมาเป็นที่นิยมอีกครั้งค่ะ เมื่อ Jake Shimabukuro มือ Ukulele หนุ่มน้อยเชื้อสายญี่ปุ่น-ฮาวาย นำมันมาบรรเลงเพลงร่วมสมัยด้วย ลีลามากลวดลายน่าทึ่ง จนได้รับสมญานามว่าเป็น อัจฉริยะUkulele และศิลปิน Israel Kamakawiwo’ole (IZ) นักดนตรีจากเกาะฮาวาย ด้วยเอกลักษณ์ตัวอ้วนใหญ่คล้ายกับยักษ์ แต่เลือกที่จะเล่น Ukulele ตัวจิ๋วเป็นเครื่องดนตรีคู่กาย IZ จึงได้รับความสนใจเป็นอย่างมาก กระแส IZ จึงเกิดมาพร้อมกับ Ukulele เพลงของ IZ ยังถูกไปใช้เป็นเพลงประกอบหนังอยู่เป็นระยะๆ IZ ได้ร้องและเล่นบทเพลง “Over the Rainbow/What a Wonderful World” ซึ่งทำให้ผู้คนเริ่มหลงเสน่ห์ในเสียงของ ukulele เข้าอย่างจัง
ส่วนประกอบของอูคูเลเล่

1. Tuners (ลูกบิด) ลูกบิด เป็นส่วนที่ใช้ในการตั้งสาย หรือขึ้นสายกีต้าร์อูคูเลเล่ เพื่อให้ได้เสียงมาตรฐาน หากลูกบิดมีความแข็งแรง(หลวม)ไม่พอ ย่อมส่งผลให้การตั้งสายให้ตรงตามมาตรฐาน ย่อมเป็นไปได้ยาก Tuners ทั้ง 4 ตัว มีความแข็งแรง ไม่หลวม และสามารถหมุดได้อย่างราบรื่น คือไม่ฝึด ไม่หลวม เกินไป
2. Headstock (หัวกีต้าร์อูคูเลเล่) ส่วนหัวของกีต้าร์อูคูเลเล่ ส่วนนี้อาจจะไม่มีผลต่อเสียง อาจจะมีผลทางด้านอารมณ์ความรู้สึก ความสวยงาม กีต้าร์อูคูเลเล่ที่ได้มาตรฐาน ควรจะมี Headstock ที่แข็งแรง ลองตรวจสอบดูด้วยว่า Headstock แข็งแรง หรือไม่มีรอยฉีกร้าวหรือไม่ เป็นต้น Headstock ส่วนมาก จะใช้ไม้เนื้อแข็งทำ เพราะให้แข็งแรง ทนทานต่อแรงดึงของสายไม้ที่นิยมนำมาใช้ทำส่วนนี้คือ Indian Rosewood, Mahogany เป็นต้น
3. Nut ส่วนนี้แม้จะเป็นชิ้นส่วนประกอบเล็กๆ Nut มีหน้าที่รองรับสายกีต้าร์อูคูเลเล่ ในตำแหน่งด้านบนใกล้กับ Headstock ในส่วนของร่อง Nut ก็สำคัญ ร่อง Nut ควรจะเสมอกัน สังเกตได้จากเวลาที่คุณดีดสาย เมื่อสายกีต้าร์อูคูเลเล่สั่นจะต้องดังเฉพาะตัวโน๊ตที่ดีดต้องไม่มีเสียงสั่นของโน๊ตตัวอื่นๆที่ไม่ต้องการ หากมีเสียงอื่นๆ หลุดรอดออกมา (ดังไม่เป็นตัวโน๊ต) อาจจะเป็นไปได้ว่า ร่องนัทไม่เสมอกัน
4. Fret ส่วนประกอบนี้สำคัญทีเดียว หากเฟรต(Fret) ไม่เรียบ เก็บงานไม่เรียบร้อย เวลาที่จับคอร์ดนั้นๆ เฟร็ตอาจจะบาดมือได้หรือไม่ คุณอาจจะรู้สึกว่าการเคลื่อนที่ของมือซ้ายทำได้ไม่ลื่นไหล ติดๆ ขัดๆ
5. Finger Board ฟิงเกอร์บอร์ดจะทำจากไม้เนื้อแข็ง เพื่อให้ทนต่อแรงกดของนิ้วมือซ้าย ส่วนใหญ่กีต้าร์อูคูเลเล่ ระดับราคากลางๆจะนิยมใช้ไม้ Indian Rosewood และ Mahogany ถ้าเป็นกีต้าร์อูคูเลเล่ ระดับราคาสูงๆ จะนิยมใช้ไม้ Ebony ฟิงเกอร์บอร์ดที่ดี ควรจะมีผิวหน้าไม้ที่เรียบเสมอกัน ซึ่งสังเกตได้ไม่ยาก
6. Neck ส่วนคอหรือ Neck ของกีต้าร์อูคูเลเล่ถือว่าสำคัญมาก ต้องดูส่วนคอให้ดี รอยต่อเข้ากันสนิทหรือไม่ และที่สำคัญที่สุดคือ คอตรงหรือไม่
7. Body ส่วนของ Body หรือลำตัวของกีต้าร์อูคูเลเล่ มีผลโดยตรงต่อเสียง นั่นหมายความว่า หากกีต้าร์อูคูเลเล่สองตัวมี Body ที่แตกต่างกัน ย่อมให้เสียงที่แตกต่างกัน แน่นอน Body จะถูกแบ่งเป็น 3 ส่วน คือ ไม้หน้า(TOP) ไม้หลัง(BACK) และไม้ข้าง(SIDE) ซึ่งการเลือกใช้ไม้ที่แตกต่างกัน ย่อมส่งผลให้เสียงแตกต่างกันอย่างแน่นอน
8. Sound Hole คือแหล่งกำเนิดเสียงเป็นส่วนที่ทำให้กีต้าร์อูคูเลเล่เกิดเสียง ซึ่งผู้ผลิตส่วนใหญ่จะนิยมทำ Sound hole แบบวงกลม ซึ่งถือเป็นมาตรฐานที่นิยมแต่ก็มีบางผู้ผลิต ได้ทำ Sound Hold เป็นรูปแบบอื่นๆ เพราะต้องการซาวด์ที่แตกต่างจากกีต้าร์อูคูเลเล่ทั่วไป ซึ่งทั้งหมดขึ้นอยู่กับผู้เล่นว่าจะชอบแบบไหน
9. Saddle หรือแท่งรองสาย saddle ส่วนใหญ่แบ่งเป็นสองประเภทหลักๆ คือ saddle ทีทำจากพลาสติก และกระดูก
10. Bridge เรียกว่า สะพานสาย หน้าที่มันคือ ไว้รองรับสายจากแรงดึง ดังนั้น Bridge ที่ดี ควรจะต้องมีความแข็งแรง ไม่หลวม โดยเฉพาะบริเวณฐานของ Bridge ต้องแน่น เรียบ และแข็งแรง ซึ่งสำคัญมากๆ ต้องไม่ลืมที่จะตรวจสอบดูให้ดี ก่อนที่ท่านจะซื้อกีต้าร์อูคูเลเล่
วิธีเลือกซื้ออูคูเลเล่
1.อูคูเลเล่ ที่ดี ต้องไม่ใช่สวยแค่รูป เสียงเป็นส่วนที่สำคัญกว่า(เว้นเสียแต่ว่า จะซื้อมาตั้งโชว์เฉย ๆ) แต่ให้ดีที่สุดคือเสียงและรูปควรจะดีทั้งคู่ ลวดลายที่ฝังมุก ทำขอบคิ้วไม่ได้มีผลกับเสียงถ้าจะต้องจ่ายเพิ่มก็ควรคำนึงถึงจุดนี้ด้วยแต่บางยี่ห้อก็ใส่เครื่องประดับเข้าไปเยอะจนทำให้เสียงทึบและหนักเข้าไปอีก
2.ไม้ที่ใช้ทำมีส่วนสำคัญมาก ไม้แต่ละชนิดจะให้เสียงแตกต่างกันไปถ้าพอจะมีกำลังทรัพย์ ขอแนะนำให้ซื้อไม้ที่เป็นไม้แท้ทั้ง ตัว (solid)จะดีกว่าไม้อัด (composite หรือ plywood) ยกตัวอย่าง ไม้ all solidmahogany ก็จะทำจากมะฮอกกานีทั้งแผ่น ไม่ผสมอะไรใด ๆ ทั้งสิ้นแต่ถ้าเป็นไม้ composite อาจจะเป็นลักษณะที่่ว่านำไม้อัดมาทำแล้วใช้มะฮอกกานีแผ่นบาง ๆ แปะด้านหน้าเพื่อความสวยงาม
3.ไม้ที่เป็น solid ยิ่งเล่น เสียงจะยิ่งดีขึ้นตามกาลเวลาเก็บให้เก่าอย่างเดียวก็จะไม่ดีเท่าเก็บแล้วเล่น ต้องเล่นให้ไม้มันได้สั่นได้ดิ้นบ้าง
4.เสียงดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เมื่อผ่านไปประมาณ 1 ปี แล้วน้ำหนักจะเบาลงเพราะไม้จะแห้ง สังเกตอูคูเลเล่รุ่นเก่า ๆจะเบากว่าตัวใหม่ที่เพิ่งออกมาจากโรงงานโดยส่วนตัวแล้วถ้าซื้อของมือสองแล้วเสียงมันดีอาจดีกว่าซื้อมือหนึ่งแต่เสียงไม่ดี(แล้วก็ไม่แน่ว่าอีกปีเสียงมันจะดีขึ้นมา)
5.สังเกตบริเวณรอยต่อต่าง ๆ ควรจะต้องหนาแน่น จุดที่ควรระวังคือ บริเวณคอและบริเวณ bridge (ส่วนที่สายด้านล่างลงมาร้อย) ใช้ไปนาน ๆ บางทีคอเบี้ยวคอคด ส่วนที่เป็น bridge ถ้ากาวไม่หนาแน่น มันอาจจะหลุดออกมาได้เพราะแรงดึงของสาย (บางยี่ห้อ ยังไม่ทันจะไขให้สายตึงได้ทูน ไขไป bridgeดังแก๊ก ๆ ๆ ๆ แล้ว) ถ้าซื้อของมือสองให้สังเกตุว่ามีรอยกาวหรือรอยซ่อมบริเวณ คอ หรือ bridge หรือเปล่า ไม้ที่ผ่านการซ่อมแซมมักจะมีรอยให้เห็น เช่นรอยเดิมกับรอยใหม่อาจจะไม่ทับกันพอดีหรือมีกาวที่ล้นเกินออกมา อูคู่เลเล่ เก่า ๆ คุณภาพงานดีอย่างของ Martinหรือ Kamaka อายุหกเจ็ดสิบปี ไม่เคยมีปัญหา
6.วางอูคูเลเล่ ในแนวระนาบ แล้วเล็งดูว่าไม้มีการคดงอหรือไม่แนบตาลงไปจนชิดกับส่วนท้ายของอูคูเลเล่ แล้วส่องไปที่ส่วนหัวเราควรจะเห็นเฟรทบอร์ดเรียงตัวกันเป็นระเบียบ ถ้า อูคูเลเล่ คอเบี้ยวจะมองออกว่าเฟร็ดไม่อยู่ในแนวระนาบ อูคูเลเล่ ใหม่ ๆ ไม่ค่อยมีปัญหานี้(แต่ก็ไม่แน่) ส่วนมากอูคูเลเล่เก่า ๆ จะเป็นเนื่องจากเก็บไม่ถูกวิธี
7.ลองขยับ ไข tuners ดูว่าหลวมหรือเปล่า ไขได้คล่องมั้ย ถ้าเป็น frictiontuners เราอาจจะต้องไขหมุดโลหะด้านบนสุดก่อน (แล้วมันจะแน่นขึ้น)แต่ก็ไม่ควรไขจนหมุนไปไหนไม่ได้ ซึ่งอาจจะทำให้เกิดความเสียหายกับไม้ได้
8.ลูบ ๆ คลำ ๆ โดยเฉพาะส่วนที่เป็นขอบของเฟทบอร์ด ควรจะถูกตะไบให้เรียบร้อยไม่ให้มีส่วนแหลมคม คงไม่ดีแน่ถ้าเล่นแล้วเฟรทแทงฉึก เลือดพุ่ง
9. ลูบ ๆ คลำ ๆ (อีกแล้ว) ไปรอบ ๆ เพื่อดูว่าแล็คเกอร์ถูกทาสม่ำเสมอทั่วตัวหรือไม่ (เว้นรุ่นผิวด้าน อาจจะดูยากนิดนึง)
10.สังเกตโดยรอบว่ามีรอยแตก รอยหัก รอยบิ่น รอยข่วนใด ๆ หรือไม่ของมือหนึ่งไม่ควรจะเป็นรอย ของมือสองอาจจะมีรอยบ้าง ถ้าเป็นแค่รอยข่วน(scratch) ที่ผิวแลกเกอร์ไม่ได้กินลึกเข้าไปในเนื้อไม้ ก็เป็นเรื่องปกติเพราะเกิดจากการผ่านการเล่น ผ่านการสตรัม แต่ถ้าเป็นรอยแตกของเนื้อไม้(crack) ต้องระวังให้ดี เพราะเล่นไปนาน ๆ อาจจะแตกเพิ่มถ้าไม่ซ่อมแซมแต่บางรอยแตกเป็นแบบแตกบาง ๆ (hairline crack) ก็ไม่ต้องทำอะไรเพิ่มเติมถ้ารอยแตกใหญ่ถึงขนาดที่ส่องอูคูเลเล่กับไฟแล้วเห็นทะลุลอดไปได้ควรจะระวังเป็นพิเศษ แต่เชื่อหรือไม่ว่าอูคูเลเล่เก่า ๆ บางตัว(เห็นมากับตา ฟังมากับหู) มีรูโหว่เบ้อเร่อ แตกบิ่นทั่วร่าง แต่เสียงโคตรดี
11.ดมดู (อย่าเพิ่งขำไป) ถ้าซื้อของเก่ามือสอง กลิ่นควรจะเก่า ๆถ้ากลิ่นใหม่ให้พึงระวังว่า อาจจะผ่านการซ่อมแซมและทาแลกเกอร์ใหม่ทับ
12.Intonation ควรจะถูกต้อง แต่ละเฟรทควรจะมีโน้ตที่ถูกต้อง ถ้ามีเครื่องdigital tuner ก็ไช้ไล่ไปเลยทีละช่อง เทียบกับตารางโน้ต ที่เฟรท 12เสียงควรจะกลับมาเป็น G C E A
13.สตรัมเพลงโปรดสักเพลงสองเพลง แล้วลองฟังดูอาจจะให้เพื่อนไปยืนอีกฟากหนึ่งของห้อง แล้วช่วยฟัง tone และ harmonicเสียงควรจะกลมกล่อม ไม่ควรมีโน้ตใดโน้ตหนึ่งกระโดดดึ๋งออกมาโดยไม่ได้รับเชิญ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ถ้าเราฟัง เราเล่น แล้วเราชอบก็ไม่ต้องไปสนใจใคร
ที่มา:https://fefernluadlai.wordpress.com/%E0%B8%AD%E0%B8%B9%E0%B8%84%E0%B8%B9%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B9%88ukulele/
ที่มา:https://fefernluadlai.wordpress.com/%E0%B8%AD%E0%B8%B9%E0%B8%84%E0%B8%B9%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B9%88ukulele/
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น